บันทึกอนุทินครั้งที่ 2
รายวิชา : (EAED3208) การจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
Creative Art Experiences Management for Early Childhood
ผู้สอน : อาจารย์ กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559
เวลา 08.30 - 13.30 น.
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ
•ทฤษฎีพัฒนาการ
- พัฒนาการทางศิลปะของ โลเวนเฟลด์ (Lowenfeld
•ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford)
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ (Torrance)
- ทฤษฎีความรู้สองลักษณะ (สมอง สองซีก)
- ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardner)
- ทฤษฎีโอตา (Auta)
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
- ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
- ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์
- ทฤษฎีโอตา
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด
•นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
•ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ตัวประกอบของสติปัญญา
- เน้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์
- ความมีเหตุผล
- การแก้ปัญหา
ความสามารถของสมอง
กิลฟอร์ด อธิบายความสามารถของสมองออกเป็น 3 มิติ
คือ มิติที่ 1 เนื้อหา
มิติที่ 2 วิธีการคิด
มิติที่ 3 ผลของการคิ
มิติที่ 1 เนื้อหา
•มิติเกี่ยวกับ ข้อมูล หรือ สิ่งเร้าที่เป็นสื่อในการคิด
•สมอง รับข้อมูลเข้าไปคิด พิจารณา 4 ลักษณะ
- ภาพ
- สัญลักษณ์
- ภาษา
- พฤติกรรม
มิติที่ 2 วิธีการคิด
•มิติที่แสดงลักษณะการทำงานของสมองใน 5 ลักษณะ
• - การรู้จัก การเข้าใจ
- การจำ
- การคิดแบบอเนกนัย (คิดได้หลายรูปแบบ หลากหลาย)
- การคิดแบบเอกนัย (ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด)
- การประเมินค่า
มิติที่ 3 ผลของการคิด
•มิติที่แสดงถึงผลที่ได้จากการทำงานของสมอง จากมิติที่ 1 + มิติที่ 2
•มี 6 ลักษณะ
- หน่วย
- จำพวก
- ความสัมพันธ์
- ระบบ
- การแปลงรูป
- การประยุกต์
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด
•สรุป.....
- เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับโครงสร้างทางสติปัญญา
- ทำให้ทราบความสามารถของสมองที่แตกต่างกันถึง 120 ความสามารถ ตามแบบจำลองโครงสร้างทางสติปัญญาในลักษณะ 3 มิติ คือ มีเนื้อหา 4 มิติ วิธีการคิด 5 มิติ และผลทางการคิด 6 มิติ
...รวมความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วย คือ วิธีการคิดอเนกนัย เป็นการคิดหลายทิศทาง หลายแง่หลายมุม คิดได้กว้างไกล ซึ่งลักษณะความคิดนี้จะนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งแปลกใหม่
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ (Torrance) •นักจิตวิทยาและนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียง ชาวอเมริกัน
•เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วย
- ความคล่องแคล่วในการคิด
- ความยืดหยุ่นในการคิด
- ความริเริ่มในการคิด
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
•แบ่งลำดับขั้นการคิดสร้างสรรค์ เป็น 5 ขั้น
- ขั้นการค้นพบความจริง
- ขั้นการค้นพบปัญหา
- ขั้นการตั้งสมมุติฐาน
- ขั้นการค้นพบคำตอบ
- ขั้นยอมรับผลจากการค้นพบ
มิติที่ 1 เนื้อหา
•มิติเกี่ยวกับ ข้อมูล หรือ สิ่งเร้าที่เป็นสื่อในการคิด
•สมอง รับข้อมูลเข้าไปคิด พิจารณา 4 ลักษณะ
- ภาพ
- สัญลักษณ์
- ภาษา
- พฤติกรรม
มิติที่ 2 วิธีการคิด
•มิติที่แสดงลักษณะการทำงานของสมองใน 5 ลักษณะ
• - การรู้จัก การเข้าใจ
- การจำ
- การคิดแบบอเนกนัย (คิดได้หลายรูปแบบ หลากหลาย)
- การคิดแบบเอกนัย (ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด)
- การประเมินค่า
มิติที่ 3 ผลของการคิด
•มิติที่แสดงถึงผลที่ได้จากการทำงานของสมอง จากมิติที่ 1 + มิติที่ 2
•มี 6 ลักษณะ
- หน่วย
- จำพวก
- ความสัมพันธ์
- ระบบ
- การแปลงรูป
- การประยุกต์
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด
•สรุป.....
- เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับโครงสร้างทางสติปัญญา
- ทำให้ทราบความสามารถของสมองที่แตกต่างกันถึง 120 ความสามารถ ตามแบบจำลองโครงสร้างทางสติปัญญาในลักษณะ 3 มิติ คือ มีเนื้อหา 4 มิติ วิธีการคิด 5 มิติ และผลทางการคิด 6 มิติ
...รวมความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วย คือ วิธีการคิดอเนกนัย เป็นการคิดหลายทิศทาง หลายแง่หลายมุม คิดได้กว้างไกล ซึ่งลักษณะความคิดนี้จะนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งแปลกใหม่
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ (Torrance) •นักจิตวิทยาและนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียง ชาวอเมริกัน
•เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วย
- ความคล่องแคล่วในการคิด
- ความยืดหยุ่นในการคิด
- ความริเริ่มในการคิด
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
•แบ่งลำดับขั้นการคิดสร้างสรรค์ เป็น 5 ขั้น
- ขั้นการค้นพบความจริง
- ขั้นการค้นพบปัญหา
- ขั้นการตั้งสมมุติฐาน
- ขั้นการค้นพบคำตอบ
- ขั้นยอมรับผลจากการค้นพบ
ขั้นที่ 1 การค้นพบความจริง
•ป็นขั้นเริ่มต้น ค้นหาสาเหตุ
•ในการทำงานเริ่มแรก ต้องมีการคิดค้น หรือหาข้อมูลต่างๆ จะเกิดความรู้สึกกังวล สับสน วุ่นวาย แล้วค่อยๆปรับตัว พยายามคิดหาสาเหตุ ว่าสิ่งที่ทำให้กังวลใจนั้น คืออะไร
•ป็นขั้นเริ่มต้น ค้นหาสาเหตุ
•ในการทำงานเริ่มแรก ต้องมีการคิดค้น หรือหาข้อมูลต่างๆ จะเกิดความรู้สึกกังวล สับสน วุ่นวาย แล้วค่อยๆปรับตัว พยายามคิดหาสาเหตุ ว่าสิ่งที่ทำให้กังวลใจนั้น คืออะไร
ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา
•เป็นขั้นที่สามารถคิดได้ และ
•เกิดความเข้าใจแล้วว่า ปัญหาคืออะไร
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมุติฐาน
•เมื่อรู้ปัญหาว่าคืออะไรจากขั้นที่ 1 และ ขั้นที่ 2 แล้วก็พยายามคิดแก้ปัญหา
•หาทางออกโดยการตั้งสมมุติฐาน
ขั้นที่ 4 การค้นพบคำตอบ
•เป็นการค้นพบคำตอบจากการตั้งสมมุติฐาน ด้วยวิธีการต่างๆอย่างหลากหลาย
•เป็นขั้นที่สามารถคิดได้ และ
•เกิดความเข้าใจแล้วว่า ปัญหาคืออะไร
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมุติฐาน
•เมื่อรู้ปัญหาว่าคืออะไรจากขั้นที่ 1 และ ขั้นที่ 2 แล้วก็พยายามคิดแก้ปัญหา
•หาทางออกโดยการตั้งสมมุติฐาน
ขั้นที่ 4 การค้นพบคำตอบ
•เป็นการค้นพบคำตอบจากการตั้งสมมุติฐาน ด้วยวิธีการต่างๆอย่างหลากหลาย
•ค้นพบว่าสมมุติฐานที่ทดสอบไปในขั้นที่ 4 นั้น ได้ผลเป็นอย่างไร
•สรุปว่าสมมุติฐานใดคือการแก้ปัญหา หรือทางออกที่ดีที่สุด
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
•สรุปว่าสมมุติฐานใดคือการแก้ปัญหา หรือทางออกที่ดีที่สุด
•สรุป.....ทอร์แรนซ์ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา หรือสิ่งที่ขาดหายไป แล้วเกิดความพยายามในการสร้างแนวคิด ตั้งสมมุติฐาน ทดสอบสมมุติฐาน และเผยแพร่ผลที่ได้ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ ทำให้เกิดแนวทางในในการค้นคว้าสิ่งแปลกๆใหม่ๆต่อไป
•ขั้นความคิดสร้างสรรค์นี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับขั้นการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ทอร์แรนซ์จึงเรียกขั้นการคิดสร้างสรรค์นี้ว่า กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
• เป็นทฤษฎีที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นการค้นพบความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์
• การทำงานของสมองสองซีก ทำงานแตกต่างกัน สมองซีกซ้าย ทำงานส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผล สมองซีกขวา ทำงานส่วนจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
•ขั้นความคิดสร้างสรรค์นี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับขั้นการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ทอร์แรนซ์จึงเรียกขั้นการคิดสร้างสรรค์นี้ว่า กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
• เป็นทฤษฎีที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นการค้นพบความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์
• การทำงานของสมองสองซีก ทำงานแตกต่างกัน สมองซีกซ้าย ทำงานส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผล สมองซีกขวา ทำงานส่วนจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
• แพทย์หญิงกมลพรรณ ชีวพันธุศรี กล่าวว่า คนเรามีสมอง 2 ซีก
• คือ...สมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี
• ส่วนสมองซีกซ้ายที่เป็นส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผล จะพัฒนาในช่วง 9-12 ปี และสมองจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี
• คือ...สมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี
• ส่วนสมองซีกซ้ายที่เป็นส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผล จะพัฒนาในช่วง 9-12 ปี และสมองจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี
• ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักได้รับการพัฒนาเพียงสมองซีกใดซีกหนึ่ง เป็นพิเศษ ไม่ให้ความสนใจการทำงานของสมองอีกซีกหนึ่งเท่าที่ควร
....ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ มุ่งการพัฒนาสมองซีกซ้าย ด้วยการให้เด็กท่องจำ คำนวณ คิดเลข สรรหาถ้อยคำ วิเคราะห์ข้อมูล และอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ขาดการสนับสนุนให้สมองซีกขวาพัฒนาควบคู่กันไป การคิดจินตนาการ การคิดแปลกใหม่ ความเป็นศิลปิน จึงไม่ค่อยมีโอกาสพัฒนา
....ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ มุ่งการพัฒนาสมองซีกซ้าย ด้วยการให้เด็กท่องจำ คำนวณ คิดเลข สรรหาถ้อยคำ วิเคราะห์ข้อมูล และอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ขาดการสนับสนุนให้สมองซีกขวาพัฒนาควบคู่กันไป การคิดจินตนาการ การคิดแปลกใหม่ ความเป็นศิลปิน จึงไม่ค่อยมีโอกาสพัฒนา
• นักการศึกษาและนักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสำคัญ และสนับสนุนการ ทำงานของสมอง 2 ซีกอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะบรรดางานค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ งานสร้างสรรค์ศิลปะ และความคิดแปลกใหม่ ล้วนเกิดจากการทำงานของสมองซีกขวา
• แนวคิดเกี่ยวกับการทำงานของสมองสองซีก ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์และพัฒนาการจัดการศึกษา
- ผู้เรียนได้เรียนรู้และทำกิจกรรมแบบบูรณาการ
- มีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ หรือ 4 MAT
- มีการทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardner)
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์
• ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาการศึกษา ชาวอเมริกัน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด - ผู้เรียนได้เรียนรู้และทำกิจกรรมแบบบูรณาการ
- มีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ หรือ 4 MAT
- มีการทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ (Gardner)
• ศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายของสติปัญญา
• ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญา ( ศักยภาพและความสามารถที่หลากหลายของมนุษย์ )
•ทฤษฎีพหุปัญญา จำแนกความสามารถหรือสติปัญญาของคนเอาไว้ 9 ด้าน ได้แก่
- ความสามารถด้านภาษา
- ความสามารถด้านภาษา
- ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
- ความสามารถด้านดนตรี
- ความสามารถด้านดนตรี
- ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
- ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
- ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
- ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
- ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา
- ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างในการแก้ปัญหา
1. ความสามารถด้านภาษา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- เรียนรู้และเข้าใจคำพูดต่างๆได้เร็วเกินวัย
- เลือกใช้คำได้หลากหลาย มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการพูดจูงใจ การโน้มน้าว การอธิบาย การเล่านิทาน การโต้เถียง การใช้เหตุผล ตลอดจนการเขียนข้อความบรรยาย เขียนสรุปจะทำได้ดีมาก เด็กจะมีลักษณะนิสัยชอบคิดชอบเขียน ความจำดี
2. ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีความถนัดเรื่องคณิตศาสตร์ เข้าใจเรื่องตัวเลขได้เร็ว
- ใช้เงินเป็นและเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- มีความสามารถในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวเลข การคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การทดลอง การสำรวจ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การใช้เหตุผล
3. ความสามารถด้านดนตรี
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ถนัดและเก่งดนตรี
- ชอบฟังเพลง ร้องเพลง และจำเนื้อเพลงได้เร็ว
- ตอบสนองกับจังหวะดนตรีได้ดี เต้นตามจังหวะดนตรีได้
- สนใจและสนุกกับการเล่นเครื่องเล่นดนตรีเป็นพิเศษ เด็กจะมีลักษณะนิสัยอารมณ์ดี ชอบร้องชอบเต้น
4. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีความสามารถในการเห็นภาพรวม
- สามารถใช้พื้นที่ในการวาดภาพได้ดี ขนาดและสัดส่วนเหมาะสม
- เข้าใจวิธีการลอกลาย
- เขียนแผนที่ได้ดี เข้าใจเรื่องทิศทาง เส้นทาง
- มองเห็นโลกในมุมที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง
5. ความสามารถด้านกีฬา และการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง ชอบการวิ่งเล่น ออกกำลังกาย เต้นรำ
- มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อได้ดี...ทั้งการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง กระโดด มีทักษะการทรงตัวที่ดี
- ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา
- ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างในการแก้ปัญหา
1. ความสามารถด้านภาษา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- เรียนรู้และเข้าใจคำพูดต่างๆได้เร็วเกินวัย
- เลือกใช้คำได้หลากหลาย มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการพูดจูงใจ การโน้มน้าว การอธิบาย การเล่านิทาน การโต้เถียง การใช้เหตุผล ตลอดจนการเขียนข้อความบรรยาย เขียนสรุปจะทำได้ดีมาก เด็กจะมีลักษณะนิสัยชอบคิดชอบเขียน ความจำดี
2. ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีความถนัดเรื่องคณิตศาสตร์ เข้าใจเรื่องตัวเลขได้เร็ว
- ใช้เงินเป็นและเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- มีความสามารถในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวเลข การคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การทดลอง การสำรวจ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การใช้เหตุผล
3. ความสามารถด้านดนตรี
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ถนัดและเก่งดนตรี
- ชอบฟังเพลง ร้องเพลง และจำเนื้อเพลงได้เร็ว
- ตอบสนองกับจังหวะดนตรีได้ดี เต้นตามจังหวะดนตรีได้
- สนใจและสนุกกับการเล่นเครื่องเล่นดนตรีเป็นพิเศษ เด็กจะมีลักษณะนิสัยอารมณ์ดี ชอบร้องชอบเต้น
4. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีความสามารถในการเห็นภาพรวม
- สามารถใช้พื้นที่ในการวาดภาพได้ดี ขนาดและสัดส่วนเหมาะสม
- เข้าใจวิธีการลอกลาย
- เขียนแผนที่ได้ดี เข้าใจเรื่องทิศทาง เส้นทาง
- มองเห็นโลกในมุมที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง ชอบการวิ่งเล่น ออกกำลังกาย เต้นรำ
- มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อได้ดี...ทั้งการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง กระโดด มีทักษะการทรงตัวที่ดี
เด็กจะมีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความสุขกับการได้ใช้กำลังกาย
6. ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบบริการผู้อื่น ช่างเอาอกเอาใจ
- ชอบช่วยเหลือเพื่อน
- พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน น่ารัก
- ปับตัวเข้ากับทุกคนได้ดี กล้าพูดกล้าแสดงออก ชอบพบปะผู้คนหลากหลาย ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
- ชอบสังเกต มองเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล
7. ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบเรียนรู้ ค้นคว้า วิจัย
- สามารถเขียนบันทึกประจำวันได้ดี
- สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง มีความมุ่งมั่นพยายามในการหาคำตอบ
- เข้าใจความรู้สึกของตนเอง อารมณ์มั่นคง
8. ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบเรียนรู้ธรรมชาติ / สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
- ชอบทัศนศึกษา ออกสำรวจโลกภายนอก
- จิตใจดี รักสัตว์ รักต้นไม้ ชอบปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
- ชอบสังเกตความแตกต่าง เปรียบเทียบสิ่งที่อยู่รอบตัว
9. ความสามารถในด้านการคิดพลิกแพลงแตกต่าง ในการแก้ปัญหา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- คิดไว มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาต่างๆได้ดี
- รู้จักเลือก หรือหาวิธีในการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
- เป็นเด็กช่างคิด สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ
- ไม่หยุดนิ่งทางความคิด ชอบเทคโนโลยี
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีพหุปัญญา
6. ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบบริการผู้อื่น ช่างเอาอกเอาใจ
- ชอบช่วยเหลือเพื่อน
- พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน น่ารัก
- ปับตัวเข้ากับทุกคนได้ดี กล้าพูดกล้าแสดงออก ชอบพบปะผู้คนหลากหลาย ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
- ชอบสังเกต มองเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบเรียนรู้ ค้นคว้า วิจัย
- สามารถเขียนบันทึกประจำวันได้ดี
- สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง มีความมุ่งมั่นพยายามในการหาคำตอบ
- เข้าใจความรู้สึกของตนเอง อารมณ์มั่นคง
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- ชอบเรียนรู้ธรรมชาติ / สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
- ชอบทัศนศึกษา ออกสำรวจโลกภายนอก
- จิตใจดี รักสัตว์ รักต้นไม้ ชอบปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
- ชอบสังเกตความแตกต่าง เปรียบเทียบสิ่งที่อยู่รอบตัว
9. ความสามารถในด้านการคิดพลิกแพลงแตกต่าง ในการแก้ปัญหา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้ .......
- คิดไว มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาต่างๆได้ดี
- รู้จักเลือก หรือหาวิธีในการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
- เป็นเด็กช่างคิด สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ
- ไม่หยุดนิ่งทางความคิด ชอบเทคโนโลยี
• ปัญญา มีลักษณะเฉพาะด้าน
• ทุกคนมีปัญญาแต่ละด้าน ทั้ง 9 ด้านมากน้อยแตกต่างกัน
• ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นได้
• ปัญญาต่างๆสามารถทำงานร่วมกันได้
• ในปัญญาแต่ละด้าน ก็มีความสามรถหลายอย่าง
• ทุกคนมีปัญญาแต่ละด้าน ทั้ง 9 ด้านมากน้อยแตกต่างกัน
• ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นได้
• ปัญญาต่างๆสามารถทำงานร่วมกันได้
• ในปัญญาแต่ละด้าน ก็มีความสามรถหลายอย่าง
ทฤษฎีโอตา (AUTA)
เดวิส (Davis) และซัลลิแวน (Sullivan) ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน และสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบโอตา มีลำดับการพัฒนา 4 ขั้นตอน ได้แก่ การตระหนัก ความเข้าใจ เทคนิควิธี และการตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ 1 การตระหนัก
ต้องตระหนักถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มีต่อตนเอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น
- การพัฒนาปรีชาญาณ
- การรู้จักและเข้าใจตนเอง
- การมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์
- การมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ขั้นตอนที่ 2 ความเข้าใจ
มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องต่างๆ.......
- ความรู้และเนื้อหาเรื่องบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์
- ลักษณะกระบวนการความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฏีความคิดสร้างสรรค์
- เทคนิค วิธีการฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนที่ 3 เทคนิควิธี
การรู้เทคนิควิธีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน.......
- เทคนิควิธีการในการฝึกความคิดสร้างสรรค์
- การระดมสมอง
- การคิดเชิงเปรียบเทียบ
- การฝึกจินตนาการ
ขั้นตอนที่ 4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง สามารถดึงศักยภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง.......
- เปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยปรับตัวอย่างเหมาะสม
- มีความคิดริเริ่มและผลิตผลงานด้วยตนเอง
- สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
เดวิส (Davis) และซัลลิแวน (Sullivan) ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน และสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบโอตา มีลำดับการพัฒนา 4 ขั้นตอน ได้แก่ การตระหนัก ความเข้าใจ เทคนิควิธี และการตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ 1 การตระหนัก
ต้องตระหนักถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มีต่อตนเอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น
- การพัฒนาปรีชาญาณ
- การรู้จักและเข้าใจตนเอง
- การมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์
- การมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ขั้นตอนที่ 2 ความเข้าใจ
มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องต่างๆ.......
- ความรู้และเนื้อหาเรื่องบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์
- ลักษณะกระบวนการความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฏีความคิดสร้างสรรค์
- เทคนิค วิธีการฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนที่ 3 เทคนิควิธี
การรู้เทคนิควิธีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน.......
- เทคนิควิธีการในการฝึกความคิดสร้างสรรค์
- การระดมสมอง
- การคิดเชิงเปรียบเทียบ
- การฝึกจินตนาการ
ขั้นตอนที่ 4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง สามารถดึงศักยภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง.......
- เปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยปรับตัวอย่างเหมาะสม
- มีความคิดริเริ่มและผลิตผลงานด้วยตนเอง
- สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
พัฒนาการทางศิลปะ
วงจรของการขีดๆเขียนๆ
• เคลล็อก (Kellogg) ศึกษางานขีดๆเขียนๆของเด็กปฐมวัย และจำแนกขั้นตอนออกเป็น 4 ขั้นตอน ทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของงานขีดๆเขียนๆทางศิลปะที่มีผลเชื่อมโยงกับพัฒนาการของเด็ก 4 ขั้นตอน มีดังนี้ ขั้นขีดเขี่ย ขั้นเขียนเป็นรูปร่าง ขั้นรู้จักออกแบบ และขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ
ขั้นที่ 1 ขั้นขีดเขี่ย (placement stage)
• เด็กวัย 2 ขวบ
• ขีดๆเขียนๆตามธรรมชาติ
• ขีดเขี่ยเป็นเส้นตรงบ้าง โค้งบ้าง
•ขีดโดยปราศจากการควบคุม
ขั้นที่ 2 ขั้นเขียนเป็นรูปร่าง (shape stage)
• ขีดๆเขียนๆตามธรรมชาติ
• ขีดเขี่ยเป็นเส้นตรงบ้าง โค้งบ้าง
•ขีดโดยปราศจากการควบคุม
• เด็กวัย 3 ขวบ
• การขีดๆเขียนๆเริ่มเป็นรูปร่างขึ้น
• เขียนวงกลมได้
• ควบคุมมือกับตาให้สัมพันธ์กันมากขึ้น
ขั้นที่ 3 ขั้นรู้จักออกแบบ (design stage)
• การขีดๆเขียนๆเริ่มเป็นรูปร่างขึ้น
• เขียนวงกลมได้
• ควบคุมมือกับตาให้สัมพันธ์กันมากขึ้น
ขั้นที่ 3 ขั้นรู้จักออกแบบ (design stage)
• เด็กวัย 4 ขวบ
• ขีดๆเขียนๆที่เป็นรูปร่างเข้าด้วยกัน
• วาดโครงสร้างหรือเค้าโครงได้
• วาดสี่เหลี่ยมได้
ขั้นที่ 4 ขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ (pictorial stage)
• ขีดๆเขียนๆที่เป็นรูปร่างเข้าด้วยกัน
• วาดโครงสร้างหรือเค้าโครงได้
• วาดสี่เหลี่ยมได้
ขั้นที่ 4 ขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ (pictorial stage)
• เด็กวัย 5 ขวบขึ้นไป
• เริ่มแยกแยะวัตถุที่เหมือนกับมาตรฐานของผู้ใหญ่ได้
• รับรู้ความเป็นจริง เขียนภาพแสดงถึงภาพคน/ สัตว์ได้
• ควบคุมการขีดเขียนได้ดี
• วาดสามเหลี่ยมได้
พัฒนาการด้านร่างกาย
• เริ่มแยกแยะวัตถุที่เหมือนกับมาตรฐานของผู้ใหญ่ได้
• รับรู้ความเป็นจริง เขียนภาพแสดงถึงภาพคน/ สัตว์ได้
• ควบคุมการขีดเขียนได้ดี
• วาดสามเหลี่ยมได้
• กีเซลล์และคอร์บิน สรุปพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวของเด็กปฐมวัย ตามลักษณะพฤติกรรมทางการใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก ดังนี้
• ด้านการตัด
- อายุ 3-4 ปี ตัดกระดาษเป็นชิ้นส่วนได้
- อายุ 4-5 ปี ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- อายุ 5-6 ปี ตัดกระดาษตามเส้นโค้งหรือรูปร่างต่างๆได้
• ด้านการตัด
- อายุ 3-4 ปี ตัดกระดาษเป็นชิ้นส่วนได้
- อายุ 4-5 ปี ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- อายุ 5-6 ปี ตัดกระดาษตามเส้นโค้งหรือรูปร่างต่างๆได้
พัฒนาการด้านร่างกาย
• การขีดเขียน
- อายุ 3-4 ปี เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- อายุ 4-5 ปี เขียนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- อายุ 3-4 ปี เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- อายุ 4-5 ปี เขียนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
• การพับ
- อายุ 3-4 ปี พับและรีดสันกระดาษสองทบตามแบบได้
- อายุ 4-5 ปี พับและรีดสันกระดาษสามทบตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี พับและรีดสันกระดาษได้คล่องแคล่ว หลายแบบ
- อายุ 3-4 ปี พับและรีดสันกระดาษสองทบตามแบบได้
- อายุ 4-5 ปี พับและรีดสันกระดาษสามทบตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี พับและรีดสันกระดาษได้คล่องแคล่ว หลายแบบ
• การวาด
- อายุ 3-4 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ขา ปาก
- อายุ 4-5 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก จมูก ปาก ลำตัว เท้า
- อายุ 5-6 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก ลำตัว เท้า จมูก แขน มือ คอ ผม
มอบหมายงาน
- อายุ 3-4 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ขา ปาก
- อายุ 4-5 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก จมูก ปาก ลำตัว เท้า
- อายุ 5-6 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก ลำตัว เท้า จมูก แขน มือ คอ ผม
- ความมุ่งหมาย
- บทบาทครูศิลปะ
- การเตรียมการสอนศิลปะ
- เทคนิควิธีการสอนศิลปะ
สร้างสรรค์ผลงาน....การเล่นสี เทคนิคการเล่นสีรูปแบบต่างๆ........
ทักษะความรู้ที่ได้รับ
- ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- การวางแผนในการทำกิจกรรม
- การแก้ปัญหา
- วิธีการทำกิจกรรมต่างๆ
การประยุกต์ใช้
- สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อเสริมทักษะให้แก่เด็กปฐมวัย ให้มีทักษะที่พึงประสงค์และเป็นไปตามวัย และยังช่วยพัฒนาด้านอารมณ์-จิตใต ด้านสังคม ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ให้เป็นไปตามความเหมาะสมตามวัยนั้นๆของเด็กปฐมวัยอีกด้วย
เทคนิคการสอน
- ยืดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมนั้นๆด้วยตัวเอง
การประเมิน
ตนเอง
- แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรม เข้าเรียนตรงต่อเวลา
เพื่อน
- ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย เข้าร่วมกิจกรรมเสมอ
ผู้สอน
- แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เข้าสอนตรงต่อเวลา พูดจาไพเราะ ให้ความสำคัญ ความสนใจกับกิจกรรมที่นักศึกษากำลังลงมือทำ
- ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- การวางแผนในการทำกิจกรรม
- การแก้ปัญหา
- วิธีการทำกิจกรรมต่างๆ
การประยุกต์ใช้
- สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อเสริมทักษะให้แก่เด็กปฐมวัย ให้มีทักษะที่พึงประสงค์และเป็นไปตามวัย และยังช่วยพัฒนาด้านอารมณ์-จิตใต ด้านสังคม ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ให้เป็นไปตามความเหมาะสมตามวัยนั้นๆของเด็กปฐมวัยอีกด้วย
เทคนิคการสอน
- ยืดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมนั้นๆด้วยตัวเอง
การประเมิน
ตนเอง
- แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรม เข้าเรียนตรงต่อเวลา
เพื่อน
- ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย เข้าร่วมกิจกรรมเสมอ
ผู้สอน
- แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เข้าสอนตรงต่อเวลา พูดจาไพเราะ ให้ความสำคัญ ความสนใจกับกิจกรรมที่นักศึกษากำลังลงมือทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น